November 24, 2012

Difficulty to be in 'the zone'

หลายวันก่อน อ่าน post Workplace ของ chakrit แล้วอยากเขียนเรื่อง 'the zone'

quote ที่อยากยกมาคือ 
Programming is one area where the most productivity comes when you are “in the zone”.
ผมเห็นด้วยและคิดว่าโปรแกรมเมอร์ส่วนใหญ่ก็น่าจะเห็นด้วย ถ้าใครไม่รู้ว่ามันคืออะไร ให้อธิบายง่ายๆ มันเป็นช่วงเวลาที่มีสมาธิสูงมากขณะกำลังสิ่งที่อยู่ตรงหน้า เหมือนกำลังหมกมุ่นกับมันยาวนานหลายชั่วโมง รู้ตัวอีกที ข้างนอกบ้านก็มืดหมดแล้ว ในห้องยังไม่ได้เปิดไฟเลย

และถ้ามันนาวนานเพียงพอ และ สิ่งที่ทำอยู่มันคืบหน้า มันจะรู้สึกดีมาก

อีกสถานการณ์นึง ที่อาจจะเรียกได้ว่า 'the zone' สำหรับผม คือในห้องสอบวิชาเลขยากหรือวิชาทำนองเดียวกัน หลายๆครั้ง พอเริ่มสอบ มันจะเหมือนมีสมาธิในการทำข้อสอบ ไม่ได้สนใจคนรอบข้าง รู้ตัวอีกทีก็ทำจะเสร็จแล้ว(ในกรณีทำได้) หรือไม่ก็จะหมดเวลาแล้ว(ในกรณีทำไม่ได้) 

สมัยมัธยม ผมมีห้วงเวลาแบบนี้บ่อยพอสมควร และไม่ยากที่จะเข้าไปอยู่ใน 'the zone' โดยเฉพาะช่วงบ่ายวันเสาร์-อาทิตย์ หรือปิดเทอม ที่มีเวลาต่อเนื่องยาวๆ

แต่ตั้งแต่ เข้ามหาลัย จนกระทั่งมาทำงาน ผมมีห้วงเวลาแบบนี้ น้อยลงๆ เรื่อยๆ มันยากมากที่จะเริ่ม และง่ายมากที่จะหลุด เคยนั่งคิดอยู่เหมือนกันว่าทำไม ทำไมตัวเองสมาธิสั้นลง ทำอะไรนานๆไม่ได้ เหมือนแต่ก่อน

นอกจาก interrupt ที่เข้ามาตามปกติแล้ว อย่างนึงที่คิดว่ามีส่วนคือ อินเตอร์เน็ตมันเร็วขึ้น มี instant notification เยอะขึ้น ข่าวสารวิ่งเข้ามาให้ distract ตลอดเวลา นี่เป็นสาเหตุสำคัญ ที่ผมเลิกเล่น twitter และก็ใช้พวก Facebook blocker อยู่พักนึง

อีกอย่างคือ รู้สึกตัวเองสนใจอะไรกว้างขึ้น ไม่ได้ focus เป็นเรื่องๆ นานๆ เหมือนแต่ก่อน อาจจะเพราะเราเห็นอะไรกว้างขึ้นแล้วสนใจไปหมด หรือไม่ โลกมันก็หมุนไวขึ้นกว่าแต่ก่อนด้วย เดี๋ยวนี้ เห็นอะไรก็เข้าไปอ่าน เข้าไปเล่นแว๊บๆ แล้วก็เลิก

ทุกวันนี้ ก็พยายามจะเรียกห้วงเวลาแบบนี้กลับมา แต่มันจุดติดยากมาก มีอารมณ์เบื่อๆปนอยู่ด้วยเสมอ
มันทำให้สงสัยว่า นี่เราเบื่อเขียนโปรแกรมแล้วรึเปล่า ก็อาจจะมีส่วนก็ได้ หรือ อาจจะแค่ยังไม่เจออะไรน่าตื่นเต้นมากๆ เท่านั้น

แต่ที่น่าสังเกตคือ จะไม่มีปัญหานี้เวลาเล่นเกมส์ และถ้าเกมส์สนุก มันก็จะมีอารมณ์คล้ายๆกับอยู่ใน 'the zone' เหมือนกัน

ถ้าทำให้ตัวเองกลับไปรู้สึกแบบเดิมได้ คงรุ้สึกว่าชีวิตกลับมาสนุกอีกครั้ง ได้พัฒนาตัวเองเร็วขึ้นกว่านี้ และคงทำอะไรสนุกๆที่อยากทำออกมาได้ ว่าแล้วก็ไปเล่นเกมส์ล่ะครับ...เย้ย

ปล. Black Friday พึ่งซื้อ Portal 2 ลด 75% กับ Civ V Gods&Kings ลด 50% มา :P

September 30, 2012

My new PC

หลายเดือนก่อน ผมซื้อ Civilization V มาเล่น ผมไม่เคยเล่นเกมซีรีส์นี้มาก่อน มีแต่เสียงร่ำลือ เห็นมันลด 75% บน Steam เลยจัดไป!

เล่นแล้วติดครับ ชอบมาก ถึงขนาดลง Windows ใหม่อีก partition เพื่อลงเกมนี้ แต่เครื่อง X200 ผมมีแต่การ์ดจอ on board ธรรมดาๆ ใช้เครื่องที่ทำงาน Intel HD 3000 เล่นก็กระตุกไม่ต่างกับ X200 เลย
ตั้ง Low ทุกอย่าง ตอนต้นๆก็พอเล่นได้ พอเข้าช่วงกลางเกม เล่นได้แต่ Map 2D (ก็ยังสนุกอยู่ดี)

เจอแบบนี้ เลยเกิดกิเลสครับ อยากได้เครื่องใหม่ มาเล่นเกมนี้ ชีวิตนี้ไม่เคยซื้อ PC มีการ์ดจอดีๆเลย พูดจริงๆ คิดวนเวียน นั่งศึกษา spec การ์ดจออยู่หลายอาทิตย์ กะว่าถ้าซื้อ ก็คงจะประกอบเอง ตั้งงบไว้ไม่เกิน 12,000 บาท

หลังจากวนเวียนตามเว็บ Benchmark และ OCZ ได้ spec ออกมาดังนี้
  • Intel Core-i3 3220 (3,940-)
    core i3 ก็พอ ประหยัดๆ แต่เอา gen ล่าสุด
  • M/B Gigabyte H77M-D3H (2,520-)
    เมนบอร์ดตัวนี้ กำลังดี เสียอย่างเดียวคือ Overclock ไม่ได้ แต่ก็คงไม่ Overclock อยู่แล้ว
  • HIS PCI-E ATI Radeon HD 7770 1GB DDR5 (4,220-)
    การ์ดจอที่ผมคิดว่าคุ้มราคาที่สุด เท่าที่หาได้
  • Ram 4GB DDR3 1600 (750-)
    หลายคนเชียร์ 8-16GB แต่ผมว่า 4GB ก็พอแล้ว
  • PSU GREAT WALL 600W 80+ (1,990-)
    โดนคนใน OCZ ขู่หลายคนว่า ใช้การ์ดจอดีๆเนี่ยมันจะกินไฟเยอะและบอบบาง PSU ที่แถมมากับเคสไม่ไหวหรอก และจ่ายไฟไม่นิ่งมีไฟ drop จ่ายไม่ได้อย่างที่อ้าง บลาๆ ใช้ไปจะทำการ์ดจอพัง PSU ที่ดีต้องวัตต์แท้ 80+ นะ จ่ายไฟได้นิ่งๆ ได้ตามที่อ้างใน spec ไอเราก็ไม่เคยใช้การ์ดจอ ไปที่ร้านก็เจอขู่แบบเดียวกันเลย ก็เลยเชื่อเค้า ซื้อของมีราคาหน่อย (คุณภาพก็ตามราคา)
  • ATX Case Gigabyte (750-)
    เลือกเคสนี้ เพราะมันเรียบง่ายและปุ่ม Power ใหญ่ดี แค่นั้น
ส่วน Harddisk ผมมีของเหลืออยุ่ใน บ้านอยู่แล้ว ก็เอามาใส่ซะเลย
1..2...3 ชั่วโมง ปิ๊ง ได้คอมใหม่มาหนึ่งเครื่อง สิ่งที่พบคือ
  • harddisk มันสำหรับ notebook ไม่ทันคิด ใส่ใน case แล้วมันเล็กกว่าช่อง ก็เลยไขน๊อตไปฝั่งเดียว อีกฝั่งลอยๆ ไว้หย่ังงั้น ฮ่าฮ่า
  • PSU ดูหรูกว่า เคสมาก 
  • ราคารวมชิ้นส่วนทั้งหมด 14,160 บาท เกินงบไปหน่อย คิดมากน่า
  • M/B เดี๋ยวนี้ BIOS หรูมาก UI ใช้ mouse ได้ด้วย
ที่เห็นนี่คือ BIOS นะ!
  • เครื่องเงียบดี
  • ปกติ ผมตั้งชื่อเครื่องตามตัวละครใน Dragonball Z เครื่องนี้ให้ชื่อว่า Trunks เพราะกล่องการ์ดจอมันเป็นรูปดาบ ฮ่าฮ่า
  • เวลาครึ่งวัน หมดไปกับการโหลด Windows update จาก Windows 7 ไป Windows 7 SP1 (ผมแผ่นแท้ครับ) และโหลดเกมจาก Steam
  • ในที่สุดก็ได้เล่น ลื่นหัวแตกครับ!
ภายในเครื่อง

จักรยานหาย!

หลังจากผมไปเที่ยวตัวเมืองอยุธยาด้วยการปั่นจักรยานกับเพื่อนมา ตอนแรกคิดว่าคงขี่ไม่ไหว แต่มันไม่เหนื่อยอย่างที่คิด เลยติดใจ เกิดไอเดียจะมาขี่จากคอนโดไป-กลับ BTS

ผมหาข้อมูลจักรยาน การขี่ในเมือง สำรวจเส้นทางอยู่ 1-2 อาทิตย์ ก็คิดว่าลองดูซะหน่อยแล้วกัน เลยไปถอยจักรยาน MTB คันแรกในชีวิตมาครับ


ราคาประมาณ 4,000 กว่าบาท จากเดิมที่ผมใช้นั่ง Taxi ไป-กลับ ถ้าขี่จักรยานตลอด คำนวนดูแล้ว ก็ประมาณ 2-3 เดือนน่าจะคืนทุน แถมได้ออกกำลังกายด้วย เย็นวันที่ฝนตกก็ไม่ต้องไล่ล่าหา Taxi อีกตะหาก คุ้มครับคุ้ม

ผมขี่จาก คอนโดมา แล้วมาจอดใต้บันได BTS ระยะทางประมาณ 4.7 km ไม่เหนื่อยมาก เหงื่อออกนิดหน่อย ขึ้นอยู่กับแดดและไฟแดงด้วย ระหว่างปั่นก็ชิวดีครับ แต่ก็ต้องมีสมาธิพอสมควร เพราะการขี่จักรยานเรียกได้ว่าเป็นพลเมือง level ต่ำที่สุดบนถนนเลยครับ

แต่ถ้าเลือกเส้นทางที่รถไม่เยอะ วิ่งไม่เร็ว ก็โอเคอยู่ บางครั้งก็ต้องขี่ขึ้นฟุตบาทแล้วใช้ขาไถลๆหลบคนไป หลบคนยังพอเข้่าใจได้ แต่ต้องหลบ มอเตอร์ไซด์ ที่ขี่สวนทางมานี่สิ!

จริงๆ ตอนผมเป็นคนเดินบนฟุตบาท ผมก็รำคาญ คนมาขี่จักรยานบนฟุตบาทนะ (มอเตอร์ไซด์ไม่ต้องพูดถึง) แต่พอมาขี่เองแล้ว เข้าใจเลยว่ามันไม่มีทางเลือกเท่าไหร่

มีอยู่วันนึง ไม่มีที่จอดเพราะ มอเตอร์ไซด์ แ-่งมาจอดที่จักรยาน จนเราเอาจักรยานเข้าไปล็อกกับรางไม่ได้ ต้องขับไปหาจอดรางถัดไป ที่น่ารังเกียจมากคือ เงยหน้าขึ้นไป มีป้ายห้ามจอดรถจักรยานยนตร์บริเวณนี้ ปรับ 2,000 บาท


หลังจากผมขี่ได้ประมาณ 2 อาทิตย์ ชีวิตก็ดู Happy ดีครับ จนวันพุธที่ผ่านมา จักรยานหาย! ผมถึง BTS วงเวียนใหญ่ ตอนประมาณ 3 ทุ่มกว่าๆ ที่จอดจักรยานโล่งโจ้ง ไร้ร่องรอยใดๆ ในหัวคิดวนไปวนมา ว่าเราจอดตรงนี้จริงๆรึเปล่า เดินไปดูรางใกล้ๆ รอบๆ ก็ไม่มี จนแน่ใจว่า หายแล้ว!

ผมเดินไปถามยามที่ใกล้ที่สุด เค้าคงไม่เห็นหรอก แต่ก็ถามดูหน่อย เค้าบอกว่า แถวนี้หายบ่อยๆ มอเตอร์ไซด์ก็หาย อืม (มอเตอร์ไซด์นี่จะสมน้ำหน้า หรือสงสารดี) ยามพูดทำนองว่า มาฝากไว้กับเค้าก็ได้แล้วให้เค้าวันละ 10-20 บาท อืมมม

การลงทุนครั้งนี้ เลยกลายเป็นขาดทุนซะงั้น หลังจากผมไปโพสบน FB ก็มีเพื่อนพี่ๆ มาบอกว่า เค้าก็หายเหมือนกัน หายหลายรอบแล้วด้วย หึหึ

เสียดายเงินนิดหน่อย แต่ก็สงสัยว่า เค้าขโมยยังไง แล้วจะกันยังไง ผมใช้สายล็อกสองเส้น ล็อกโครงกับล้อหลัง แล้วก็ล็อกรางกับโครงและล้อหน้าอีกเส้น แน่นหนาเท่าที่ผมจะทำได้ แต่ก็ยังหายอยู่ดี :P

ตอนนี้ ผมกำลังคิดอยู่ว่าจะซื้อคันที่สองดีมั้ย ฮ่าฮ่า

July 25, 2012

The Dark Knight Rises

  •  !!! SPOIL ALERT !!!
  • ในที่สุดก็ได้ดู หลังจากรอมานาน และยังต้องหลบ spoil จากคนรอบข้างอีก  3-4 วัน ถึงจะได้ไปดู
  • โดยรวม สนุกครับ ให้ 8.5/10 หนังดีมาก production ดี บทดี cast ดี ดูดีเกือบหมด แนะนำให้ไปดู
  • แต่ผมก็ยัง ชอบภาค 2 The Dark Knight มากกว่า
  • Bane เป็นตัวร้าย ที่ไม่มีเสน่ห์เลยจริงๆ ตั้งแต่เห็นข่าวแรกๆว่า ตัวร้ายภาคนี้คือ Bane ซึ่งตอนนั้น ผมไม่รู้จักเลย ก็เลยไปหาอ่านตาม wiki ก็ไม่สะดุดอะไรกับตัวร้ายตัวนี้เท่าไหร่ มัน Plain ไปหน่อย
  • Plot กับ Climax ของเรื่อง มันธรรมดาไปหน่อย มันเหมือนๆหนังพวก 007 หรือ Mission Impossible ที่มี ผู้ร้ายวางแผนการใหญ่ จะวางระเบิด พระเอกตามสืบ โดนหักหลัง แล้วสุดท้าย พระเอกก็จัดการะเบิดได้ ต่างกันกับภาคที่แล้ว ที่เดาไม่ออกเลยว่า Joker กำลังคิดจะทำอะไร เรื่องมันพลิกไปพลิกมาและตื่นเต้นตลอด
  • Batman ป่วยมาก มากเกินไปหน่อย แต่หนังกลับไม่ทำให้ผมรู้สึกสิ้นหวังไปด้วยอย่างที่ควรจะเป็น
  • ภาคนี้ มันคล้ายๆ ภาคแรก คือ Drama ในจิตใจเยอะ แต่ผมชอบ ความลึกในเนื้อเรื่อง แบบ ภาค 2 มากกว่า
  • ชอบ Soundtrack ภาคนี้ จากที่ Bane ดูไม่น่ากลัว บางฉาก Soundtrack ช่วยให้ Bane ดูน่ากลัวขึ้นมาก
  • Catwoman แย่งซีนมาก น่าดูทุกซีนที่ Anne Hathaway ออกมา
  • มีความเชื่อลึกๆว่าจะได้เห็น Robin ในหนังเรื่องต่อไป (ที่ไม่ใช่ Nolan กำกับ)
  • Nolan ให้สัมภาษณ์ว่า theme ของภาคแรกคือ Fear ภาคสองคือ Chaos และภาคนี้คือ Pain

June 23, 2012

การมาของ Flipboard บน Android

ตื่นมาวันนี้ ก็เห็นข่าวว่า Flipboard เปิดให้ download บน Google Play แล้ว
แต่เดิมที่ผ่านมา App จำพวก newsreader บน Android ผมยังไม่เห็นเจ้าตลาดจริงจัง มีทั้ง Pulse, Feedly, Taptu, Google Reader และอีกหลายตัว


ส่วนตัวผม ก็พยายามลองมาหมดแล้ว และสุดท้ายก็จบที่
Pulse - สำหรับอ่านข่าวชั่ววูบ แบบว่าอ่านผ่านๆได้ ไม่อ่านก็ไม่เป็นไร
Google Reader - สำหรับอ่าน blog ที่ติดตามอยู่ ชนิดว่าไม่อยากข้ามซัก topic

หลังจากลองเล่น Flipboard อยู่ชั่วโมงนึง ก็พบว่า

  • คงได้เลิกใช้ Pulse มาใช้ Flipboard แทน แต่ Flipboard ยังสู้ Pulse ไม่ได้อยู่จุดนึง คือ การ browse หัวข้อ แบบผ่านๆ ซึ่ง Pulse มันอ่านแค่หัวข้อผ่านๆ ง่ายกว่า ต้องมา flip ไปทีละข่าว แบบ Flipboard
  • เอาจริงๆ Flipboard กับ Pulse นี่ก็ลื่นพอกัน แต่ Flipboard สวยกว่า
  • เป็นเหมือนกันทุกโปรแกรมคือ ผมอยากจะเลือก source ข่าวเอง แต่พอเลือกมันก็จะต้องดูแยกเป็น source แต่พอจะดู แบบรวมผสมกัน ผมก็ต้องเจอกับ source หลายๆอันที่ไม่อยากอ่าน และตรงนี้ เราก็ถ่วงน้ำหนักให้แต่ละ source ไม่ได้  (Google News เคยพยายามทำ feature นี้ แต่ก็เงียบหายไป)
  • กำลังจะลองแก้ปัญหาข้อบน ด้วยการอ่าน Following circle แทน แล้วไปเลือก follow source เข้า circle ตามที่สนใจ
  • Flipboard ยึดติดกับ Twitter ค่อนข้างเยอะ (เข้าใจว่า อิทธิพลจาก iOS) 
  • แต่ Flipboard ก็ integrate กับ account เจ้าอื่นได้ดี โดยเฉพาะมี Google+ ด้วย!  (Google I/O อีกไม่กี่วันนี้ Write API อาจจะออกมา)
  • พบว่า คงจะมาอ่าน Facebook feed ทาง Flipboard แทนที่จะเป็น ตัว Native Facebook App แล้ว

June 21, 2012

ณ ป้ายรถเมล์ แห่งหนึ่ง...

ณ ป้ายรถเมล์ แห่งหนึ่ง...

ทอม กร และแบงค์ ยืนรอรถเมล์ที่ป้ายรถเมล์หน้าออฟฟิสหลังเลิกงาน

ทอม มักจะขึ้นรถเมล์ที่มาถึงป้ายคันแรกเสมอ ซึ่งทำให้เค้าไปถึงบ้านช้ามากเพราะต้องนั่งรถเมล์ย้อนไปย้อนมา บางวันโชคดีหน่อยเจอรถเมล์ที่ถูกสายก็ไปถึงบ้านเลย

กร ขึ้นรถเมล์สายไหนก็ได้แต่ต้องมีแอร์และมีที่นั่ง หากรถเมล์แอร์ที่มีที่นั่งยังไม่มา...กรก็จะไม่ขึ้น ทั้งนี้สายที่กรขึ้นนั่นอาจจะเป็นสายที่ไปถึงบ้านหรือไปอีกทางก็ได้ ขอแค่มีแอร์และที่นั่งเป็นพอ

แบงค์ ขึ้นรถเมล์สาย 36 เสมอ เพราะรถเมล์สายนี้พาเค้าไปถึงซอยเข้าบ้าน หากวันไหนสาย 36 ไม่มาหรือรถหมดเค้าก็จะขึ้นสาย 29 แทนแต่อาจจะต้องเดินไกลขึ้นนิดนึงแต่ถึบ้านเหมือนกัน

...ผมคิดว่าในชีวิตจริงการเดินทางกลับบ้านคงไม่มีใครทำแบบ ทอม กับ กร ใช่มั้ยครับ แต่การเดินทางชีวิตกลับแตกต่างออกไป ...หลายคนรู้ว่าตัวเองอยากทำอะไร อยากเป็นอะไร เป้าหมายอยู่ตรงไหน แต่กลับเลือกทำงานที่มีเข้ามาเสนอก่อนซึ่งไม่สนว่าใช่สิ่งที่ทำนั้นจะนำพาไปถึงเป้าหมายหรือไม่ อีกหลายคนไม่น้อยเลือกทำงานที่สบาย ที่ลำบากน้อยที่สุด แม้ว่างานนั้นจะพาไปคนละทิศละทางกับเป้าหมายก็ตาม ...แต่ก็ยังมีคนจำนวนหนึ่งที่เลือกทำในสิ่งที่จะพาเขาไปสู่จุดหมายปลายทางได้ อาจจะเร็ว อาจจะช้า แต่ถ้าไปถูกทิศทางก็น่าจะถึงเข้าสักวัน 

...แต่ถ้าวันไหนเซ็งๆก็ลองขึ้นรถมล์ผิดสายดูบ้างก็ดีนะครับ มันอาจจะพาเราไปใที่ี่ไม่เคยไป เดินในที่ที่ไม่เคยเดิน กินข้าวเย็นในที่ที่ไม่เคยกิน เจอคนที่ไม่เคยเจอ (และอาจจะเป็นคนๆนั้นที่รออยู่ 555) ..........แต่ก็กลับบ้านให้ถูกละกันครับ ;-))

=====================================================

ไปเจอบน wall ของ Poon Nakorn ชอบมาก เลยเอามาแปะเก็บไว้

May 17, 2012

ต้องเรียกว่าโชคดีมาก

หลายอาทิตย์ก่อน ผมทำบัตร ATM หาย ลืมไว้ที่ตู้ ATM ใต้ตึกที่ทำงาน ออกจากตึกไปกินข้าวแล้ว พอจะจ่ายตังค์พึ่งเห็นว่า บัตรหายไป โชคดี รุ่นน้องที่ตามมากินด้วย บอกว่ายามเจอบัตร ATM หลังจากผมออกมา เลยกลับไป แล้วยามก็เก็บบัตรไว้จริงๆ

เมื่อวานซืน ผมตื่นเช้ามา เปิดกระเป๋าตังค์ดู บัตร ATM หายอีกแล้ว นั่งนึกย้อนไป ก็จำได้คร่าวๆว่า เบิกเงินก่อนออกจากที่ทำงานเมื่อวาน เลยรีบไปที่ทำงาน ยามเก็บบัตรไว้ได้อีกเช่นเคย โชคดี ได้คืน

วันเดียวกันกับที่ได้บัตร ATM คืน ผมนั่งแท็กซี่ไปกินกับที่ทำงานกันตอนเย็น ผมนั่งหน้า ผมเลยควักกระเป๋าตังค์ออกมาจ่ายตังค์ค่ารถ แล้วก็ลุกออกไป ไม่ได้ยัดเก็บกระเป๋าตังค์ เดินออกมานิดนึง พึ่งรู้ตัวว่า กระเป๋าตังค์หล่นไปบนรถแท็กซี่ และ แท็กซี่วิ่งออกไปแล้ว ในใจทั้งตกใจและคิดว่าทำไมมันซวยแบบนี้ 

รีบวิ่งออกไปที่ถนนก็๋ไม่ทันแล้ว ในหัวนึกไม่ค่อยออกว่าต้องทำอะไรก่อน คิดไปแล้วว่า คงไปซะแล้ว ในกระเป๋ามีเงินประมาณ 500 และไม่มีอะไรสำคัญ แต่ที่ไม่อยากคือ ต้องไปทำบัตรนู่นนี่ใหม่

แต่บังเอิญช่วงที่ นั่งแท็กซี่มา ก็รู้ว่าเค้าฟัง สวพ.91 อยู่ เลยลองโทรไปดู เบอร์​1644 เจ้าหน้าที่เค้าก็ถามรายละเอียด แล้วก็รับเรื่องไว้ และบอกว่า ถ้าแท็กซี่ โทรมาแจ้ง แล้วจะติดต่อกลับมา 

ผมไม่แน่ใจว่า เค้าประกาศให้ทางวิทยุให้ด้วยรึเปล่า เพราะไม่มีวิทยุฟัง จากนั้นก็ลองโทรไป จส.100 ก็ฝากเรื่องไว้เหมือนกัน 

จากนั้นผมก็นั่งรอที่โต๊ะ ไม่มีอารมณ์ enjoy กับคนอื่นเท่าไหร่ ในหัวคิดว่า จะต้องทำอะไรอีก ผ่านไปเกือบชั่วโมง ไม่มีการติดต่อใดๆ ผมก็เริ่มโทรอายัดบัตรเครดิต เว้น 15 นาที แล้วก็เริ่มโทรบัตร ATM

ช่วงที่โทรอายัดอยู่ ก็มีเบอร์มือถือโทรเข้ามา แล้วบอกว่า โทรจาก สวพ.91 แล้วจู่ๆ เค้าก็บอกว่า เดี๋ยวให้ คุยออกวิทยุ ห๊ะ!! แต่ก็ครับๆ ในใจคิดว่า เค้าคงให้ไปเล่าให้ฟังว่าหายที่ไหนยังไง ถือสายแป๊ปนึง ก็เข้ารายการ  มีเสียงผุ้ชายผู้หญิงนุ่มๆ 2 คน พูดขึ้นมา ถามคำถามอะไรซักอย่างที่ผมฟังแล้วงง ผมเข้าใจว่าเค้าเอามือถือไปเปิด speaker เพราะเสียงมันเบาและห่างไกลมาก ผมฟังไม่รู้เรื่อง ฟังไม่ออกว่า เค้าถามอะไร 

เค้าก็เลยบอกว่า พี่แท็กซี่โทรเข้ามาแจ้งแล้ว ผมก็จริงเหรอครับ แล้วเค้าก็เอาสายพี่คนขับแท็กซี่เข้ามาคุยอีกสาย ผมยังคงฟังไม่รุ้เรื่องเหมือนเดิมว่าพูดอะไร จำได้แต่ว่า จะบอกอะไรกับพี่แท็กซี่บ้าง ผมก็ขอบคุณไป   แล้วก็ถามคำถามอะไรอีกซักอย่าง แต่ผมฟังไม่รู้เรื่อง สุดท้ายเค้าก็ตัดจบ แล้วก็ให้เบอร์พี่แท็กซี่มา แล้วผมก็โทรไปคุย 

นัดพี่แท็กซี่ เอากระเป๋าตังค์มาส่งคืนให้ ผมก็ขอบคุณเค้าอยู่หลายที แล้วก็ให้ค่ารถเค้าไปพอสมควร พี่เค้าดูเป็นคนดี พูดจาดี 

ถึงตรงนี้ ฟังดูมันเหมือนง่ายๆ ฟังดูเหมือนผมเจอเรื่องซวยติดๆกัน แต่ต้องถือว่าผมโชคดีมาก ที่ได้คืนมาหมด แถมได้คืนเร็วมากด้วย ไม่ถึง  2 ชั่วโมง 

ต้องขอบคุณพี่แท็กซี่คนนั้นจริงๆ ผมไม่ทันจำทะเบียนรถ แต่ผมยังจำชื่อพี่ได้ มีคนบอกน่าจะถ่ายรูปกับพี่เค้าหน่อย ฮ่าฮ่า

แล้วก็ต้องขอบคุณ สวพ.91 ด้วยครับ ที่รับเรื่องและประสานงานให้ ฟังบนแท็กซี่มานาน พึ่งเจอกับตัวเองก็คราวนี้แหละ

May 13, 2012

BugDay Bangkok 2012

วันนี้ไปงาน BugDay Bangkok 2012 ที่ ม.ศรีปทุม มาครับ เป็นงานที่มีหัวข้อหลักคือ Software Testing อยากไปมาก เพราะปีก่อนไม่ได้ไป และพักหลังก็หันมาสนใจเรื่องพวกนี้ มากขึ้นเรื่อยๆ แต่ยังไม่ถึงขั้นหลงใหล แค่อยากรู้เพิ่มขึ้นมากกว่า

เนื่องจากงานจัดที่ ม.ศรีปทุม ซึ่งไกลจากบ้านผมที่อยู่ฝั่งธน พอสมควร กว่าจะไปถึง งานก็เริ่มไปแล้วครับ (ตื่นเช้า ง่วงนอนมาก) ไปถึงหน้างาน ยื่น Ticket ลงทะเบียน แล้วก็เข้าห้องเลย ห้องมี 3 ห้อง คือ NEWBIES, IN PRACTICE และ AGILE ครับ  มาไล่ทีละหัวข้อเลยละกันครับ ว่าเข้าไปหัวข้อไหนบ้าง เรื่องอะไร และได้อะไรกลับออกมาบ้าง

ช่วงเช้า

How to live with Agile  by Narupat Kumnurtrath (Aware Corporation Ltd.)

เข้าไปตอน เค้าเริ่มไปแล้วประมาณ 20 นาทีครับ แต่ผมพอจะเคยฟังแนวคิด Agile มาบ้าง เลย ไม่มีปัญหาในการปะติดปะต่อ หลักๆของ session นี้ก็คือ Agile คือยังไง เค้าทำกันยังไง โดยพูดถึง scrum ซะเยอะ ผมประทับใจ session นี้ ตรงที่ ผมรู้สึกว่า คนพูดอธิบายได้ดี ฟังรู้เรื่อง และได้เนื้อหาเป็นความรู้มากๆ ไม่ใช่แค่แนวคิดหรือ mindset และด้วยความที่ ผมไม่เคยอ่านหนังสือเกี่ยวกับ agile practice จริงจัง ครูพักลักจำซะเยอะ session นี้เลยทำให้ ผมได้คำอธิบายของคำศัพท์ต่าง scrum, sprint, backlog, grooming, sprint retrospective อะไรพวกนี้ แบบเป็นเรื่องเป็นราว ปะติดปะต่อ กัน เป็นภาพใหญ่ ต่อไปผมคงฟังคนชอบ Agile คุยกันรู้เรื่องมากขึ้นล่ะ

Seeking Hyper Productivity  by Chokchai Phatharamalai (Proteus Technologies Corporation Ltd.)

หัวข้อนี้ ลังเลว่าจะเข้าดีมั้ย เพราะไม่แน่ใจว่าเข้าใจชื่อหัวข้อถูกรึเปล่า และ อีกห้องก็ดูหัวข้อน่าสนใจ
เข้าไปแล้ว เป็นคุณ @juacompe เป็นคนพูดนี่เอง พึ่งเคยเจอตัวเป็นๆ ฟังช่วงแรก รู้สึกผิดหวังครับ ฟังถึงช่วงกลางๆ ก็ยังรู้สึกผิดหวัง ไม่ใช่ว่าเรื่องที่พูดไม่น่าสนใจ แต่รู้สึกเหมือนมานั่งฟังเค้าโม้ เรื่องคน มากกว่าที่จะเกี่ยวกับ software development ที่อยากจะฟัง ที่น่าสนใจก็มี Csikszentmihalyi's Flow Chart แต่ใจความสำคัญก็คือ Responsiveness, Motivation and Communication 3 อย่างนี้ แต่ที่หล่อก็คือ เค้ามา wrap-up สุดท้ายว่า 3 สิ่งนี้ คือสิ่งที่ทำให้ productivity สูงขึ้น และ agile พยายามจะสร้าง 3 สิ่งนี้

พักเที่ยง

ไปกินข้าวที่ศูนย์อาหารของมหาลัย ซึ่งเป็นศูนย์อาหาร ที่แปลกดี คือ มีบันไดเลื่อนขึ้นชั้น 2 แต่จะลง ต้องลงบันไดเอา

ช่วงบ่าย

Key Elements for Successful Automation  by Pakinai Thantranont (Enspry Technologies Co., Ltd.)

session นี้ อธิบายถึงส่วนประกอบต่างๆ ที่สำคัญในการทำ Automation หรือ Automate Testing ครับ ฟังไปเรื่อยๆ เกือบหลับ คนพูดเค้าพูดโอเคนะครับ แต่มันเป็น concept ซะเยอะ อารมณ์เหมือนเนื้อหาในตำรา และส่วนตัวก็พอจะรู้บ้างอยู่แล้ว จริงๆ คาดหวังว่าจะมี case study หรือ pitfall ที่น่าสนใจ ให้ดู แต่ก็ไม่มีครับ

ATDD – Make Love, Not (QA/DEV) War to work (Rate R)  by Sinaporn Suebvisai and Kulawat Wongsaroj (Proteus Agility Co., Ltd.)

อันนี้ เข้าเพราะพี่ Kulawat โดยแท้ เพราะสมัยเรียนอาจารย์เคยพาไปฟังเค้า พูดเรื่อง Agile ที่ Reuters และนั่นเป็นครั้งแรก ที่รุ้จัก Agile เป็นเรื่องเป็นราว แล้วรู้สึกว่าพี่เค้าเป็นตัวพ่อ เรื่อง Agile ในเมืองไทย เลยต้องเข้าไปฟังซะหน่อย พึ่งรู้ว่า พี่เค้าออกจาก Reuters มาตั้งบริษัท Agile coaching เองแล้ว ชื่อ Proteus Agility กำลังทำ Agile tools อยู่ด้วย

เนื้อหา สนุกดี ครับ ฟังได้เพลินๆ สิ่งที่เก็บได้ และยังจำได้คือ
  • กำแพง ระหว่าง QA กับ Dev คือสิ่งที่น่าเป็นห่วง มันคือการจับผิด การกั๊ก
  • ATDD = Executable Requirement
  • ATDD => User (human-readable test) -> QA (Pseudo test) <-> Dev (real test + implement)
  • TDD = Design,  ATDD = Conversation
  • ATDD => Clear the definition of done
  • TDD มันเหมือนการเดินถอยหลัง สำหรับ Dev (ข้อนี้ โดนมากกกกก เพราะรู้สึกมากตอน ลองทำ TDD เคยเขียน blog ไว้เหมือนกัน)
  • ATDD เดินถอยหลังร่วมกัน
ช่วงหลัง มีพี่แป๋ม (พึ่งเคยเจอตัวจริง) มาโชว์การทำ ATDD ด้วย Robot framework กับ Selenium ได้เห็น Agile tool ที่พี่เค้าทำอยู่นิดหน่อยด้วย

Bug Preventive Medicine 2.0  by Twin Panichsombat and Piya Lumyong (Opendream Co., Ltd.)

อันนี้พูดโดยพี่ @roofimon พึ่งเคยเข้า session ของพี่เค้าครั้งแรก พี่เค้าดูเป็นคนตลกดี ส่ิ่งที่พูดคือ TDD และวิธีการทำ พี่เค้าคาดหวังจะให้คนเอาโน๊ตบุ๊กมา checkout code นี้ แล้วลองทำไปกับเค้า มีคนเอามานิดเดียว ผมเอาไป แต่ก็ใช้เน็ตไม่ได้ สุดท้ายก็ดูเค้าทำหน้าห้อง สิ่งที่พี่เค้าทำ และ เป็นหลักให้จำมี 3 อย่าง
  • เขียน test 
  • ทำ test ให้ผ่าน ให้เร็วที่สุด
  • Refactor 
จะทำอะไรเพิ่ม ก็ทำ 3 อย่างนี้อีกไปเรื่อยๆ สิ่งที่ว้าวตรงนี้คือ พึ่งรู้ว่าที่เคยทำมา ผมยังไม่เข้าถึง TDD อย่างเต็มรูปแบบ ก่อนหน้านี้ผมเข้าใจ TDD คือการเขียน test เพื่อกำหนดพฤติกรรมของ code ที่เราจะ implement ขึ้นมาหลังจากนั้น และสิ่งที่ได้ประโยชน์ก็คือ มันจะการันตีว่า change ที่เราเพิ่มเข้าไปอีก มันจะไม่ทำให้อะไรพัง เพราะมี test คลุมอยู่เสมอ ทำงานได้สบายใจ 

แต่สิ่งที่พึ่งรู้เพิ่ม คือ ทำ TDD เพื่อการ design โค้ดที่จะออกมา พี่เค้าบอกว่า 
  • เราต้องทำ test ให้ผ่านให้เร็วที่สุด ด้วยความฉลาดและความคิดแบบ minimum ที่สุด
  • อย่าทำอะไรเกินจากที่ test ต้องการแม้แต่น้อย   
  • อย่าเขียน method ที่ไม่มีใน test 
  • อย่าคิดจะออกแบบ หรือ คิดถึง design pattern โน่นนี่ ที่ไม่จำเป็น 
เพราะถ้าทำ มันจะทำให้เกิดอะไรที่ไม่จำเป็น  ใช้ test เป็นตัว drive code ที่จะออกมา อย่างแท้จริง ตรัสรู้เลยทีเดียว สิ่งที่น่าเสียดายคือ แนวคิดนี้ ทำไม่ค่อยได้กับ dynamic language หรือทำแล้วอาจจะไม่สนุกเหมือนเกม เพราะ compiler จะ detect แล้วขึ้นตัวแดงไม่ได้    

สุดท้าย ถ้า code ที่ drive ออกมาด้วย TDD ไม่น่าพอใจ ก็ Refactor ซะ(นั่นเป็นหลักข้อที่ 3) แล้วก็รัน test ที่คลุมไว้อยู๋แล้ว

จบ session ง่วงมาก  จริงๆ มี session discussion ต่อ แต่ง่วงมาก เลยกลับบ้าน เป็นอันจบงานวันนี้ครับ
ส่วนตัว อยากให้งานปีต่อๆไป เน้นหัวข้อ Practical หรือหัวข้อ Advanced ขึ้นอีกหน่อยก็ดีนะครับ

วันพรุ่งนี้ เป็นวันที่ 2 เป็น Training Day แต่ คงไม่ไป เพราะตื่นเช้าไม่ไหวแล้ว และมีอะไรต้องทำมากมาย

Update: เพิ่ม slide บางหัวข้อที่หาได้

May 7, 2012

ใช้ Dropbox กันยังไงบ้าง

หลายวันก่อน Google เปิดตัว Drive เป็นบริการที่เอา Google Doc มาต่อยอดกลายเป็น Cloud storage service ก็ลองเข้าไปเล่นตามปกติ แล้วก็พึ่งเอะใจว่า ผมเองก็มี Dropbox account อยู่ นานแล้ว แต่จนทุกวันนี้ ก็ได้แต่ลงไว้ในเครื่อง ปล่อยให้รันไว้เฉยๆ แต่ไม่ได้ใช้มันมาซักพักแล้ว

ในสมัยก่อน เคยใช้ Dropbox ไว้เก็บ session ของ Firefox และ note บางส่วน เวลา กลับมาเปิด Firefox ที่บ้าน Tab จะได้ตามมาด้วย แต่สุดท้าย พอย้ายมา Chrome ก็หันไป save เป็น bookmarks แทน แล้วก็ sync ผ่าน Chrome เอา

เคยพยายามจะใช้ Dropbox ในลักษณะ เอาไฟล์ PDF ไปใส่ไว้ เผื่อจะเปิดอ่านบนมือถือ แต่สุดท้ายก็ได้แค่ใส่ไว้แบบนั้น ไม่ได้เปิดอ่านอะไรอยู่ดี

วันก่อนก็เลยสงสัยว่า คนอื่นเค้าใช้ Dropbox พวกนี้กันยังไง เลยไปถามใน FB ซึ่งก็ได้คำตอบมาบางส่วน
  • ใช้ sync ไฟล์ระหว่างที่ทำงาน และ ที่บ้าน พวก documents
  • ใช้เก็บไฟล์เป็นหลักเลย ส่วนความปลอดภัย ก็ลง encryption layer เพิ่มเอา
  • ใช้ส่งไฟล์ หาเพื่อน เพราะมันง่ายกว่า ส่งผ่านอีเมล์
  • ใช้เป็น shared drive ในที่ทำงาน
  • ใช้ sync ไฟล์​กับมือถือ

โดยแนวคิดแล้ว มันคงจะดี ถ้าไฟล์ใน Home (หรือ My Documents บน Windows) ทั้งหมด อยู่บน cloud สามารถ sync ข้ามเครื่องได้ เวลาไปลงเครื่องใหม่ หรือไปเครื่องไหนก็มีไฟล์ให้ใช้ แต่ในใจก็รู้สึก ตะหงิดๆ และทำใจไม่ค่อยได้ ที่ไฟล์เรา รูปเรา ไปอยู่บน Cloud อยู่ที่ไหนไม่รู้ รู้สึกไม่ปลอดภัย รู้สึกเหมือนควบคุมไม่ได้

แต่มันก็แปลกอีก ที่ผมไม่รู้สึกแบบนี้กับ Mail service เช่น Gmail ใช้ได้อย่างสบายใจ ทั้งๆที่ ผมก็เอารูป เอาไฟล์สำคัญๆ นู่นนี่ ส่งผ่านอีเมล์​ และเก็บไว้ใน mailbox อยู่บ่อยๆ

ยังนึกไม่ออกว่า อะไรทำให้รู้สึกต่างกัน

April 29, 2012

Hello, World

Lorem ipsum dolor sit amet, consectetur adipiscing elit. Integer placerat orci eu ipsum pretium interdum dapibus diam eleifend. Mauris rhoncus dui et orci dignissim ac molestie nunc dictum. Donec id vulputate lectus. Cras egestas consequat diam et elementum. Praesent neque orci, commodo at bibendum eget, interdum et dui. Cum sociis natoque penatibus et magnis dis parturient montes, nascetur ridiculus mus. Curabitur feugiat convallis quam, sed vulputate lectus elementum ullamcorper. Quisque sed velit eros.

Curabitur non urna at neque pretium accumsan. Ut vitae sapien at velit lacinia egestas. Phasellus velit tortor, pharetra nec commodo nec, tincidunt cursus mi. Pellentesque habitant morbi tristique senectus et netus et malesuada fames ac turpis egestas. Praesent a nunc sem, adipiscing congue tellus. Lorem ipsum dolor sit amet, consectetur adipiscing elit. Nulla tristique ornare augue ut bibendum. Aliquam erat volutpat. Donec lobortis vulputate leo. Phasellus ornare scelerisque lectus. Quisque pulvinar nisi ut erat tristique malesuada. Mauris facilisis erat sit amet felis venenatis cursus. Duis et metus id erat lobortis pulvinar vel sit amet libero. Vivamus ac lectus eros. Vivamus non iaculis lectus. Quisque non ligula bibendum arcu tincidunt semper sed vitae tortor.