January 5, 2013

Property Rights

2-3 วันก่อน ผมพึ่งซื้อหนังสือ มนุษย์เศรษฐกิจ 3.0 ของคุณ นรินทร์ โอฬารกิจอนันต์ มาอ่าน ผมเป็นแฟนหนังสือของเค้าและตามอ่านมาหลายเล่มแล้ว รวมทั้ง blog เค้าด้วย

ยังอ่านไม่จบเล่ม แต่มีบทนึง ที่มีแนวคิดแปลกดี น่าสนใจ และผมไม่เคยคิดถึงมาก่อนเลย ชื่อตามหัวข้อครับ Property Rights

ขออนุญาตคัดมาบางย่อหน้าครับ

------------------------------

ถ้าถามคุณว่า อะไรคือต้นเหตุที่ทำให้ ละอง ละมั่ง สมัน เนื้อทราย กูปรี สูญพันธุ์ไปจากโลกนี้ บางคนอาจตอบว่า เป็นเพราะกฏหมายคุ้มครองสัตว์ป่าไม่เข้มงวดพอ หรือบางคนอาจตอบว่า เป็นเพราะเราขาดจิตสำนึกในการอนุรักษ์สัตว์ป่า แต่ถ้าจะให้ตอบคำถามนี้แบบนักเศรษฐศาสตร์ สาเหตุหลักที่ทำให้สัตว์ป่าเหล่านี้สูญพันธุ์เป็นเพราะ กฏหมายห้ามมิให้เอกชนครอบครองสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์เหล่านี้ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?

เมื่อเราห้ามมิให้เอกชนเป็นเจ้าของสัตว์ป่า พวกมันจึงเป็นสมบัติสาธารณะ ถ้าเราจะห้ามมิให้ใครฆ่ามันเพื่อเอาประโยชน์ เราจะต้องใช้กำลังพลจำนวนมหาศาลคอยอารักขาพวกมันตลอดเวลาซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก แต่ถ้าเรายอมให้เอกชนเป็นเจ้าของพวกมันและหาประโยชน์จากพวกมันได้ จะมีบริษัทเอกชนจำนวนมากเปิดฟาร์มเพื่อหาวิธีขยายพันธุ์พวกมัน แล้วขายเนื้อของพวกมันเพื่อเอากำไร พวกมันจึงไม่สูญพันธุ์ แต่จะมีจำนวนมากขึ้นอย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่าสัตว์อย่าง เป็ด ไก่ หมู วัว เป็นสัตว์ที่ไม่มีวันสูญพันธุ์ได้ เพราะกฏหมายอนุญาตให้เอกชนเป็นเจ้าของพวกมันได้

------------------------------

แนวคิดนี้เป็นแนวคิดแบบทุนนิยม อิงอยู่บนฐานคิดที่ว่า คนเรามักจะหวงของๆเรา มากกว่าของๆคนอื่นหรือส่วนรวม ตัวอย่างง่ายๆจากในหนังสือคือ คุณมักจะประหยัดน้ำ ประหยัดไฟที่บ้าน มากกว่า น้ำไฟที่ทำงาน หรืออีกตัวอย่างคือการแก้ปัญหาช้างป่าลดลงในแอฟริกา

ผมลองคิดตามก็คิดว่า มันเป็นทางแก้ปัญหาที่น่าสนใจทีเดียว

วันก่อนช่วงหยุดปีใหม่ มีละครเฉลิมพระเกียรติเกี่ยวกับการอนุรักษ์ป่า ในบทละครพยายามจะสอนว่า ทุกคนต้องหวงแหนป่าของชาตินะ และปกป้องไม่ให้ใครมาลุกล้ำป่า วิธีนี้ก็เป็นทางนึงในการปกป้องป่า และก็ใช้แนวคิดคล้ายๆกันที่จะสร้างความเป็นเจ้าของป่าให้กับทุกคน

แต่ถ้าสมมุติว่า เราไปใช้วิธีให้ปัจเจก/เอกชน เป็นเจ้าของป่า มาหาประโยชน์จากป่า  มันอาจจะกลายเป็นว่าเอกชน ก็ตัดต้นไม้ไปหาประโยชน์ก็จริง แต่เอกชนเองก็จะพยายามปลูกป่าทดแทนพร้อมๆกับหาทางปลูกให้มากกว่าเดิมด้วย เพื่อเพิ่มมูลค่าทรัพย์สินของตัวเองไปด้วย

แน่นอน ในกรณีป่า นี้มันยังมีเรื่องสัตว์ที่อาศัยอยุ่ มีทรัพยากรธรรมชาติอย่างอื่นอีก มันคงซับซ้อนกว่านี้มาก

ในท้ายๆบทนี้ ยังพูดถึงเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ กับ การปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาด้วย ไปหาหนังสือมาอ่านกันเองละกันนะครับ :)

November 24, 2012

Difficulty to be in 'the zone'

หลายวันก่อน อ่าน post Workplace ของ chakrit แล้วอยากเขียนเรื่อง 'the zone'

quote ที่อยากยกมาคือ 
Programming is one area where the most productivity comes when you are “in the zone”.
ผมเห็นด้วยและคิดว่าโปรแกรมเมอร์ส่วนใหญ่ก็น่าจะเห็นด้วย ถ้าใครไม่รู้ว่ามันคืออะไร ให้อธิบายง่ายๆ มันเป็นช่วงเวลาที่มีสมาธิสูงมากขณะกำลังสิ่งที่อยู่ตรงหน้า เหมือนกำลังหมกมุ่นกับมันยาวนานหลายชั่วโมง รู้ตัวอีกที ข้างนอกบ้านก็มืดหมดแล้ว ในห้องยังไม่ได้เปิดไฟเลย

และถ้ามันนาวนานเพียงพอ และ สิ่งที่ทำอยู่มันคืบหน้า มันจะรู้สึกดีมาก

อีกสถานการณ์นึง ที่อาจจะเรียกได้ว่า 'the zone' สำหรับผม คือในห้องสอบวิชาเลขยากหรือวิชาทำนองเดียวกัน หลายๆครั้ง พอเริ่มสอบ มันจะเหมือนมีสมาธิในการทำข้อสอบ ไม่ได้สนใจคนรอบข้าง รู้ตัวอีกทีก็ทำจะเสร็จแล้ว(ในกรณีทำได้) หรือไม่ก็จะหมดเวลาแล้ว(ในกรณีทำไม่ได้) 

สมัยมัธยม ผมมีห้วงเวลาแบบนี้บ่อยพอสมควร และไม่ยากที่จะเข้าไปอยู่ใน 'the zone' โดยเฉพาะช่วงบ่ายวันเสาร์-อาทิตย์ หรือปิดเทอม ที่มีเวลาต่อเนื่องยาวๆ

แต่ตั้งแต่ เข้ามหาลัย จนกระทั่งมาทำงาน ผมมีห้วงเวลาแบบนี้ น้อยลงๆ เรื่อยๆ มันยากมากที่จะเริ่ม และง่ายมากที่จะหลุด เคยนั่งคิดอยู่เหมือนกันว่าทำไม ทำไมตัวเองสมาธิสั้นลง ทำอะไรนานๆไม่ได้ เหมือนแต่ก่อน

นอกจาก interrupt ที่เข้ามาตามปกติแล้ว อย่างนึงที่คิดว่ามีส่วนคือ อินเตอร์เน็ตมันเร็วขึ้น มี instant notification เยอะขึ้น ข่าวสารวิ่งเข้ามาให้ distract ตลอดเวลา นี่เป็นสาเหตุสำคัญ ที่ผมเลิกเล่น twitter และก็ใช้พวก Facebook blocker อยู่พักนึง

อีกอย่างคือ รู้สึกตัวเองสนใจอะไรกว้างขึ้น ไม่ได้ focus เป็นเรื่องๆ นานๆ เหมือนแต่ก่อน อาจจะเพราะเราเห็นอะไรกว้างขึ้นแล้วสนใจไปหมด หรือไม่ โลกมันก็หมุนไวขึ้นกว่าแต่ก่อนด้วย เดี๋ยวนี้ เห็นอะไรก็เข้าไปอ่าน เข้าไปเล่นแว๊บๆ แล้วก็เลิก

ทุกวันนี้ ก็พยายามจะเรียกห้วงเวลาแบบนี้กลับมา แต่มันจุดติดยากมาก มีอารมณ์เบื่อๆปนอยู่ด้วยเสมอ
มันทำให้สงสัยว่า นี่เราเบื่อเขียนโปรแกรมแล้วรึเปล่า ก็อาจจะมีส่วนก็ได้ หรือ อาจจะแค่ยังไม่เจออะไรน่าตื่นเต้นมากๆ เท่านั้น

แต่ที่น่าสังเกตคือ จะไม่มีปัญหานี้เวลาเล่นเกมส์ และถ้าเกมส์สนุก มันก็จะมีอารมณ์คล้ายๆกับอยู่ใน 'the zone' เหมือนกัน

ถ้าทำให้ตัวเองกลับไปรู้สึกแบบเดิมได้ คงรุ้สึกว่าชีวิตกลับมาสนุกอีกครั้ง ได้พัฒนาตัวเองเร็วขึ้นกว่านี้ และคงทำอะไรสนุกๆที่อยากทำออกมาได้ ว่าแล้วก็ไปเล่นเกมส์ล่ะครับ...เย้ย

ปล. Black Friday พึ่งซื้อ Portal 2 ลด 75% กับ Civ V Gods&Kings ลด 50% มา :P

September 30, 2012

My new PC

หลายเดือนก่อน ผมซื้อ Civilization V มาเล่น ผมไม่เคยเล่นเกมซีรีส์นี้มาก่อน มีแต่เสียงร่ำลือ เห็นมันลด 75% บน Steam เลยจัดไป!

เล่นแล้วติดครับ ชอบมาก ถึงขนาดลง Windows ใหม่อีก partition เพื่อลงเกมนี้ แต่เครื่อง X200 ผมมีแต่การ์ดจอ on board ธรรมดาๆ ใช้เครื่องที่ทำงาน Intel HD 3000 เล่นก็กระตุกไม่ต่างกับ X200 เลย
ตั้ง Low ทุกอย่าง ตอนต้นๆก็พอเล่นได้ พอเข้าช่วงกลางเกม เล่นได้แต่ Map 2D (ก็ยังสนุกอยู่ดี)

เจอแบบนี้ เลยเกิดกิเลสครับ อยากได้เครื่องใหม่ มาเล่นเกมนี้ ชีวิตนี้ไม่เคยซื้อ PC มีการ์ดจอดีๆเลย พูดจริงๆ คิดวนเวียน นั่งศึกษา spec การ์ดจออยู่หลายอาทิตย์ กะว่าถ้าซื้อ ก็คงจะประกอบเอง ตั้งงบไว้ไม่เกิน 12,000 บาท

หลังจากวนเวียนตามเว็บ Benchmark และ OCZ ได้ spec ออกมาดังนี้
  • Intel Core-i3 3220 (3,940-)
    core i3 ก็พอ ประหยัดๆ แต่เอา gen ล่าสุด
  • M/B Gigabyte H77M-D3H (2,520-)
    เมนบอร์ดตัวนี้ กำลังดี เสียอย่างเดียวคือ Overclock ไม่ได้ แต่ก็คงไม่ Overclock อยู่แล้ว
  • HIS PCI-E ATI Radeon HD 7770 1GB DDR5 (4,220-)
    การ์ดจอที่ผมคิดว่าคุ้มราคาที่สุด เท่าที่หาได้
  • Ram 4GB DDR3 1600 (750-)
    หลายคนเชียร์ 8-16GB แต่ผมว่า 4GB ก็พอแล้ว
  • PSU GREAT WALL 600W 80+ (1,990-)
    โดนคนใน OCZ ขู่หลายคนว่า ใช้การ์ดจอดีๆเนี่ยมันจะกินไฟเยอะและบอบบาง PSU ที่แถมมากับเคสไม่ไหวหรอก และจ่ายไฟไม่นิ่งมีไฟ drop จ่ายไม่ได้อย่างที่อ้าง บลาๆ ใช้ไปจะทำการ์ดจอพัง PSU ที่ดีต้องวัตต์แท้ 80+ นะ จ่ายไฟได้นิ่งๆ ได้ตามที่อ้างใน spec ไอเราก็ไม่เคยใช้การ์ดจอ ไปที่ร้านก็เจอขู่แบบเดียวกันเลย ก็เลยเชื่อเค้า ซื้อของมีราคาหน่อย (คุณภาพก็ตามราคา)
  • ATX Case Gigabyte (750-)
    เลือกเคสนี้ เพราะมันเรียบง่ายและปุ่ม Power ใหญ่ดี แค่นั้น
ส่วน Harddisk ผมมีของเหลืออยุ่ใน บ้านอยู่แล้ว ก็เอามาใส่ซะเลย
1..2...3 ชั่วโมง ปิ๊ง ได้คอมใหม่มาหนึ่งเครื่อง สิ่งที่พบคือ
  • harddisk มันสำหรับ notebook ไม่ทันคิด ใส่ใน case แล้วมันเล็กกว่าช่อง ก็เลยไขน๊อตไปฝั่งเดียว อีกฝั่งลอยๆ ไว้หย่ังงั้น ฮ่าฮ่า
  • PSU ดูหรูกว่า เคสมาก 
  • ราคารวมชิ้นส่วนทั้งหมด 14,160 บาท เกินงบไปหน่อย คิดมากน่า
  • M/B เดี๋ยวนี้ BIOS หรูมาก UI ใช้ mouse ได้ด้วย
ที่เห็นนี่คือ BIOS นะ!
  • เครื่องเงียบดี
  • ปกติ ผมตั้งชื่อเครื่องตามตัวละครใน Dragonball Z เครื่องนี้ให้ชื่อว่า Trunks เพราะกล่องการ์ดจอมันเป็นรูปดาบ ฮ่าฮ่า
  • เวลาครึ่งวัน หมดไปกับการโหลด Windows update จาก Windows 7 ไป Windows 7 SP1 (ผมแผ่นแท้ครับ) และโหลดเกมจาก Steam
  • ในที่สุดก็ได้เล่น ลื่นหัวแตกครับ!
ภายในเครื่อง

จักรยานหาย!

หลังจากผมไปเที่ยวตัวเมืองอยุธยาด้วยการปั่นจักรยานกับเพื่อนมา ตอนแรกคิดว่าคงขี่ไม่ไหว แต่มันไม่เหนื่อยอย่างที่คิด เลยติดใจ เกิดไอเดียจะมาขี่จากคอนโดไป-กลับ BTS

ผมหาข้อมูลจักรยาน การขี่ในเมือง สำรวจเส้นทางอยู่ 1-2 อาทิตย์ ก็คิดว่าลองดูซะหน่อยแล้วกัน เลยไปถอยจักรยาน MTB คันแรกในชีวิตมาครับ


ราคาประมาณ 4,000 กว่าบาท จากเดิมที่ผมใช้นั่ง Taxi ไป-กลับ ถ้าขี่จักรยานตลอด คำนวนดูแล้ว ก็ประมาณ 2-3 เดือนน่าจะคืนทุน แถมได้ออกกำลังกายด้วย เย็นวันที่ฝนตกก็ไม่ต้องไล่ล่าหา Taxi อีกตะหาก คุ้มครับคุ้ม

ผมขี่จาก คอนโดมา แล้วมาจอดใต้บันได BTS ระยะทางประมาณ 4.7 km ไม่เหนื่อยมาก เหงื่อออกนิดหน่อย ขึ้นอยู่กับแดดและไฟแดงด้วย ระหว่างปั่นก็ชิวดีครับ แต่ก็ต้องมีสมาธิพอสมควร เพราะการขี่จักรยานเรียกได้ว่าเป็นพลเมือง level ต่ำที่สุดบนถนนเลยครับ

แต่ถ้าเลือกเส้นทางที่รถไม่เยอะ วิ่งไม่เร็ว ก็โอเคอยู่ บางครั้งก็ต้องขี่ขึ้นฟุตบาทแล้วใช้ขาไถลๆหลบคนไป หลบคนยังพอเข้่าใจได้ แต่ต้องหลบ มอเตอร์ไซด์ ที่ขี่สวนทางมานี่สิ!

จริงๆ ตอนผมเป็นคนเดินบนฟุตบาท ผมก็รำคาญ คนมาขี่จักรยานบนฟุตบาทนะ (มอเตอร์ไซด์ไม่ต้องพูดถึง) แต่พอมาขี่เองแล้ว เข้าใจเลยว่ามันไม่มีทางเลือกเท่าไหร่

มีอยู่วันนึง ไม่มีที่จอดเพราะ มอเตอร์ไซด์ แ-่งมาจอดที่จักรยาน จนเราเอาจักรยานเข้าไปล็อกกับรางไม่ได้ ต้องขับไปหาจอดรางถัดไป ที่น่ารังเกียจมากคือ เงยหน้าขึ้นไป มีป้ายห้ามจอดรถจักรยานยนตร์บริเวณนี้ ปรับ 2,000 บาท


หลังจากผมขี่ได้ประมาณ 2 อาทิตย์ ชีวิตก็ดู Happy ดีครับ จนวันพุธที่ผ่านมา จักรยานหาย! ผมถึง BTS วงเวียนใหญ่ ตอนประมาณ 3 ทุ่มกว่าๆ ที่จอดจักรยานโล่งโจ้ง ไร้ร่องรอยใดๆ ในหัวคิดวนไปวนมา ว่าเราจอดตรงนี้จริงๆรึเปล่า เดินไปดูรางใกล้ๆ รอบๆ ก็ไม่มี จนแน่ใจว่า หายแล้ว!

ผมเดินไปถามยามที่ใกล้ที่สุด เค้าคงไม่เห็นหรอก แต่ก็ถามดูหน่อย เค้าบอกว่า แถวนี้หายบ่อยๆ มอเตอร์ไซด์ก็หาย อืม (มอเตอร์ไซด์นี่จะสมน้ำหน้า หรือสงสารดี) ยามพูดทำนองว่า มาฝากไว้กับเค้าก็ได้แล้วให้เค้าวันละ 10-20 บาท อืมมม

การลงทุนครั้งนี้ เลยกลายเป็นขาดทุนซะงั้น หลังจากผมไปโพสบน FB ก็มีเพื่อนพี่ๆ มาบอกว่า เค้าก็หายเหมือนกัน หายหลายรอบแล้วด้วย หึหึ

เสียดายเงินนิดหน่อย แต่ก็สงสัยว่า เค้าขโมยยังไง แล้วจะกันยังไง ผมใช้สายล็อกสองเส้น ล็อกโครงกับล้อหลัง แล้วก็ล็อกรางกับโครงและล้อหน้าอีกเส้น แน่นหนาเท่าที่ผมจะทำได้ แต่ก็ยังหายอยู่ดี :P

ตอนนี้ ผมกำลังคิดอยู่ว่าจะซื้อคันที่สองดีมั้ย ฮ่าฮ่า

July 25, 2012

The Dark Knight Rises

  •  !!! SPOIL ALERT !!!
  • ในที่สุดก็ได้ดู หลังจากรอมานาน และยังต้องหลบ spoil จากคนรอบข้างอีก  3-4 วัน ถึงจะได้ไปดู
  • โดยรวม สนุกครับ ให้ 8.5/10 หนังดีมาก production ดี บทดี cast ดี ดูดีเกือบหมด แนะนำให้ไปดู
  • แต่ผมก็ยัง ชอบภาค 2 The Dark Knight มากกว่า
  • Bane เป็นตัวร้าย ที่ไม่มีเสน่ห์เลยจริงๆ ตั้งแต่เห็นข่าวแรกๆว่า ตัวร้ายภาคนี้คือ Bane ซึ่งตอนนั้น ผมไม่รู้จักเลย ก็เลยไปหาอ่านตาม wiki ก็ไม่สะดุดอะไรกับตัวร้ายตัวนี้เท่าไหร่ มัน Plain ไปหน่อย
  • Plot กับ Climax ของเรื่อง มันธรรมดาไปหน่อย มันเหมือนๆหนังพวก 007 หรือ Mission Impossible ที่มี ผู้ร้ายวางแผนการใหญ่ จะวางระเบิด พระเอกตามสืบ โดนหักหลัง แล้วสุดท้าย พระเอกก็จัดการะเบิดได้ ต่างกันกับภาคที่แล้ว ที่เดาไม่ออกเลยว่า Joker กำลังคิดจะทำอะไร เรื่องมันพลิกไปพลิกมาและตื่นเต้นตลอด
  • Batman ป่วยมาก มากเกินไปหน่อย แต่หนังกลับไม่ทำให้ผมรู้สึกสิ้นหวังไปด้วยอย่างที่ควรจะเป็น
  • ภาคนี้ มันคล้ายๆ ภาคแรก คือ Drama ในจิตใจเยอะ แต่ผมชอบ ความลึกในเนื้อเรื่อง แบบ ภาค 2 มากกว่า
  • ชอบ Soundtrack ภาคนี้ จากที่ Bane ดูไม่น่ากลัว บางฉาก Soundtrack ช่วยให้ Bane ดูน่ากลัวขึ้นมาก
  • Catwoman แย่งซีนมาก น่าดูทุกซีนที่ Anne Hathaway ออกมา
  • มีความเชื่อลึกๆว่าจะได้เห็น Robin ในหนังเรื่องต่อไป (ที่ไม่ใช่ Nolan กำกับ)
  • Nolan ให้สัมภาษณ์ว่า theme ของภาคแรกคือ Fear ภาคสองคือ Chaos และภาคนี้คือ Pain